“คีล เจอมึงที่นี่ก็ดีแล้ว มีเรื่องอยากถาม”
“มีอะไรเหรอ โจว” เขามองหน้าโจว คนที่เป็นทั้งเพื่อนและGMของเขา
“มึงรู้จักผู้หญิงที่กำลังคุยกับภูษิตไหม” ชายหนุ่มมองตามสายตาของโจวที่มองไปยังร่างบางของหญิงสาว ที่กำลังยืนเคียงข้างกับภูษิต
“เธอเป็นลูกหนี้ ครอบครัวกูเอง มึงมีอะไรกับผู้หญิงคนนั้นเหรอ”
“วันนี้กูเห็นมากับคุณนายอมร เธอบอกว่ามารับงานที่นี่ แต่ไม่ได้บอกว่างานอะไร และกูก็อยากให้เขามาทำงานที่นี่”
ชาคีลมองโจว... ก็คงอยากให้หล่อนมาทำงานที่นี่จะได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น...เขาคาดเดา
“ถ้านายต้องการให้มาทำงานที่นี่ ก็ไม่มีปัญหานะ ความจริงถ้าต้องการคนเราก็ประกาศรับสมัครงานทางเว็บไซต์ อยู่แล้วนี่ คนว่างงานจะได้เข้าถึงและเปิดโอกาสเข้ามาสมัครทุกคน”
“งั้นฉันจะส่งข้อมูลให้เขาเอง...” โจวกระตือรือร้น จนชายหนุ่มอดสงสัยไม่ได้
“ทำไม สนใจเหรอ?”
“ใช่กูสนใจ” ชาคีลมองเพื่อน เข้าใจความรู้สึก แต่...ไม่อยากให้โจวเข้ามายุ่งเกี่ยวกับหล่อนสักเท่าไหร่...
“มึงเปลี่ยนใจยังทันนะ” เขาตบบ่าเพื่อน โจวทำหน้างงๆ ทว่ายังปล่อยให้คำพูดของเขาเป็นปริศนาแบบนั้น ปล่อยให้โจวหาคำตอบเอง โจวทำหน้างง
โจวเพิ่งอกหัก แฟนสาวที่ไปท้องกับผู้ชายต่างชาติคนอื่น เป็นเวลาหนึ่งเดือนจึงทำใจได้ การมีคนใหม่อาจทำให้เขาลืมแฟนเก่ามากขึ้น ช่วงเย็นที่เขาเจอภัคธีมา เขาคิดว่าหล่อน คือ ผู้หญิงที่ต้องตาต้องใจเขาและอยากสานสัมพันธ์กับหล่อน
“กูไม่รู้เบื้องหลังเธอเป็นยังไง แต่กูจะรอ...”
“เธอเป็นพี่สาวของผู้หญิงที่มาหลอกภูษิต และ ตอนนี้น้องชายกูกำลังหลงผู้หญิงคนนั้น...” โจว ผิดหวังเล็กน้อย…ทว่าเขากลับมองหล่อนในแง่ดี
“กูว่าเธออาจต่างจากน้องสาวนะคงไม่ได้หลอกใครต่อใคร แต่เสียดายเธอคงชอบภูษิต” โจวทำท่าจะถอย
“เดี๋ยวกูหาผู้หญิงดีๆ มาให้มึงเพิ่งอกหักไปอย่าเพิ่งรีบคว้า” เขาปลอบใจเพื่อน โจวพยักหน้ารับ ก็คงต้องปล่อยหญิงสาวให้หลุดมือไป เพราะเห็นได้ชัดว่าภูษิตยังยืนคุยกับหล่อนไม่ได้ไหน
“ขอตัวก่อนนะ” โจวพูดทิ้งท้ายก่อนแยกตัวออกไป
ชายหนุ่มเดินออกมาด้านหน้าโรงแรมที่มีต้นไม้ใหญ่ปล่อยกิ่งสยายข้างทาง และ มีพุ่มดอกเข็ม ประดับเป็นระยะ โคมไฟตามข้างทางเริ่มเปิดขึ้นเพราะความมืดเข้าครอบคลุมในไม่ช้า สายตาคมเหลือบไปเห็นร่างภูษิตเดินเคียงข้างกับร่างบางของภัคธีมา ชาคีลรีบสาวเท้าไปทันก่อนทักขึ้น
“ฉันเห็นนายออกมาตั้งนานยังไม่กลับอีกเหรอ แม่ให้มาตามนาย”
“ผมจะไปส่งคุณพลอยขึ้นรถ เพราะเธอไม่ให้ผมขับคุณไปส่งที่บ้าน” เขาไม่ใส่ใจกับคำตอบของน้องชายเท่าไหร่นัก
“คุณแม่ต้องการเจอนายตอนนี้”
“พี่ก็บอกคุณแม่สิว่า เดี๋ยวคุณพลอยกลับไปก่อนแล้วผมจะไปหา”
“นายต้องไปหาคุณแม่เดี๋ยวนี้!”
เขาขึ้นเสียง และ ใช้สายตาบังคับให้น้องชายทำตาม ภูษิตกำมือแน่นเลือดขึ้นหน้า พี่ชายก็พี่ชายเถอะ ถ้ามาใช้อำนาจกับเขาเขาก็ไม่ยอมเหมือนกันดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะรู้ว่าภูษิตไม่ยอมจากผู้หญิงตรงหน้าไป เพราะ กำลัง หลง แต่เขาก็คงไม่เอาเรื่องแบบนี้มาทะเลาะกับน้องชายตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง…
“ฉันจะไม่ทะเลาะกับนาย เพราะเรื่องไร้สาระ โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง” เขาหันมามองหล่อนแว็บเดียว ภัคธีมารับรู้ถึงกลิ่นไอคุกรุ่นของความไม่พอใจ…
“คุณษิตคะ ไปหาแม่ของคุณเถอะค่ะ” หญิงสาวแตะแขนของเขา
“อย่าลืมโทรหาคุณชมพูนะคะ” ภูษิตพยักหน้าตามที่หล่อนขอร้อง
“งั้นผมขอตัวก่อนเดินทางกลับดีๆ นะครับ” หล่อนพยักหน้าให้เขา เห็นภูษิตมองหล่อนตาละห้อย ก่อนจากไป
หญิงสาวเห็นว่าภูษิตเดินลับตาหายเข้าไปในโรงแรมแล้ว หล่อนมองเขาแว็บหนึ่งแต่ไม่ได้ตอบอะไร นอกจากจะเดินไปหาถนนหลักจุดรอรถแท็กซี่แต่แล้วเสียงของเขากลับดังขึ้นหยุดหล่อนไหว้ก่อน…
“เดี๋ยว! ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ” หล่อนนึกในใจ เขามีเรื่องอะไรจะคุยอะไรกับหล่อนอีก?
“คะ?”
“คุณรับหน้าที่เป็นแม่สื่อให้ภูษิตและชมพู” ของเขาถามเพื่อให้มั่นใจ
“ค่ะ ฉันรับปากแม่ของคุณไว้”
“คุณรับเงินมาแล้วหวังว่าคงทำให้สำเร็จ ไม่ใช่รับเงินไปแล้วกลับไม่มีผลงาน” เขากอดอกพูดเสียงราบเรียบแววตาจ้องมาที่หล่อน
“ฉันมีสัจจะพอที่จะทำตามที่สัญญาไว้ค่ะ”
“ถ้าคุณพูดแบบนี้ก็ดี ต่อไปนี้ผมคงเห็นคุณเร่งทำหน้าที่ให้มากขึ้นไม่ใช่เอ้อระเหย เพราะอยากรั้งภูษิตให้อยู่กับคุณ” หญิงสาวเริ่มรู้สึกไม่พอใจผู้ชายตรงหน้า
“ฉันจะทำแบบนั้นทำไมล่ะคะ” หล่อนอยากรู้เหมือนกัน...ว่าเขาจะตอบอย่างไร หล่อนเห็นรอยเยาะในแววตาของเขา
“ปั่นหัวเล่นมั้ง?” หญิงสาวกำมือแน่น...
“ฉันไม่มีเจตนาจะทำแบบนี้!”
“งั้นก็ทำให้สำเร็จ ถ้าเสร็จงานแล้วผมจ่ายส่วนที่เหลือให้คุณเอง หรือ อาจจะมากกว่านั้น เพื่อที่ว่าคุณจะได้ไม่ต้องมาที่นี่อีก”
“ถ้าฉันรู้ว่าคุณเป็นเจ้าของที่นี่ ฉันก็คงไม่มารับงานนี้หรอกค่ะ” ก็พราะคุณนายอมรนัดหล่อนมาพบชมพูกับภูษิตที่นี่ เมื่อรับงานแล้วหล่อนจึงต้องมาไม่อยากนั้นหล่อนคงไม่มาที่นี่
หญิงสาวพยายามควบคุมอารมณ์ ก่อนจบการสนทนา เขาพยักหน้ารับรู้แต่เหตุผลที่เขาต้องปฏิเสธหล่อนก็เพราะ เขาไม่อยากให้หล่อนมาที่นี่อาจทำให้โจวหลงหล่อนเหมือนภูษิต!
“ที่ผมพูดแบบนี้ ไม่ใช่กีดกันเรื่องงาน แต่เพราะผมไม่อยากให้คุณทำเรื่องให้มันป่วนมากกว่านี้”
“ป่วนยังไงคะ?”
“คุณจะต้องไม่มาที่นี่! โจวเป็นเพื่อนของผมเขาเพิ่งอกหักมา หวังว่าคุณคงไม่ทอดสะพานให้เขามาชอบคุณ”
“เราเพิ่งเจอกันเพียงครั้งเดียวเขาเสนองานให้ และ ฉันได้ปฏิเสธไปแล้ว อีกอย่างฉัน ไม่ได้ทอดสะพานให้เขา อย่างที่คุณกล่าวหา” หล่อนหน้าแดงเพราะเริ่มโมโห
“ผมจะพยายามเชื่อในสิ่งที่คุณพูด... แค่จะบอกว่าโจวคือเพื่อนของผม ผมต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้น้องชายและเพื่อน ไม่ใช่คว้ามิจฉาชีพอย่างคุณมาเป็นแฟน!”
...หล่อนไม่เคยคิดว่าเขาจะใช้วาจาร้ายกาจดูหมิ่นหล่อนได้มากมายขนาดนี้
“คุณ กำลังดูหมิ่นฉัน ฉันไม่ใช่มิจฉาชีพ”
“ผมพูดความจริงอย่าทำเป็นยอมรับไปไม่ได้”
เพี๊ยะ! …ฝ่ามือบางฟาดลงบนแก้มของเขา และ มันก็ทำให้แก้มสากของเขาแดงตามแรงตบของหล่อน อีกฝ่ายแววตาแข็งกร้าว แขนแข็งแกร่งของเขากระชากร่างบางของหล่อนเข้ามาใกล้จนแนบอก
เขาโน้มหน้าเข้ามาหาหล่อนตามแรงโทสะ ฉุนเฉียวเลือดพร่าน เพราะแรงตบของหล่อน ริมฝีปากอุ่นๆ บดขยี้จูบลงริมฝีปากบางอิ่มนุ่มนิ่ม ความรู้สึกวาบหวามซ่านไปถึงหัวใจเป็นสัมผัสเสน่หา...หวานล้ำ แม้จูบสักเพียงเสี้ยวนาทีก็กลับตรึงใจเขาจนถอนตัวไม่ขึ้น...
หญิงสาวยกมือทั้งทุบอกแกร่งทั้งข่วนทั้งตีแต่ก็ไม่เป็นผล อีกฝ่ายฉกจูบเรียวปากอิ่มทั้งอยากเอาชนะและจูบให้หนำใจ...
สักพักเขาก็รู้สึกถึงแรงสะอื้นร่างบางเริ่มสั่นสะท้านไหว... หยาดน้ำตาไหลนองหน้า เขาจึงผละร่างของหล่อนออกห่าง หล่อนมองเขาด้วยหยาดน้ำตาที่เอ่อล้นขอบตา
“คุณก็ไม่ต่างจากโจรที่ชอบข่มเหง และ ฉวยโอกาสจากเพศที่อ่อนแอกว่า”
หญิงสาวยกมือเช็ดริมฝีปากตัวเองพูดเสียงสั่น
“อย่ามาที่นี่อีกกลับไปซะ!” หญิงสาวมองเขาด้วยความรู้สึกเจ็บปวด หล่อนพูดจบรวบรวมกำลังทั้งหมด...ผลักร่างสูงใหญ่ของเขาให้ออกห่าง ก่อนวิ่งสุดกำลังขาโดยไม่หันมามองเขาอีก…