ชีวิตคนเราไม่เที่ยง ขึ้นกับบุญวาสนาสะสมจากปางก่อนคงเป็นเช่นนั้นจริง ผมคงทำกรรมดีจากชาติก่อนมาพอสมควร ชะตาชีวิตชาตินี้จึงสุขสบายดี แต่อีกนั่นแหละครับ เพราะกรรมดีอาจสะสมไม่มากพอ ชีวิตชาตินี้จึงแสนสั้นจบแบบไม่ค่อยสวยนัก
ผมเป็นลูกชายคนเดียวจึงเป็นที่รักอย่างมากของพ่อแม่ ทุกคนชมว่าผมหล่อ ตาโตมีประกายแวววาวแสดงถึงความมุ่งมั่น เป็นเด็กขี้อ้อนชอบให้พ่อและแม่กอดตั้งแต่เด็ก ครั้นโตขึ้นอุปนิสัยแก้ไม่หายอย่างหนึ่ง คือชอบก้มหน้าเอามือซ้ายเสยผมเวลาเขิน แต่ความที่ตัวสูงและผอมมาก เพื่อนๆ จึงตั้งฉายาผมว่า ‘ไอ้ก้าง’
ศุกร์ที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๓๔ อีกสัปดาห์เดียวก็จะอายุสิบห้าแล้ว วันนี้ พ่อมารับผมที่โรงเรียนเข้ากรุงเทพฯ เพื่อไปรับแม่ที่โรงพยาบาลเพราะแม่อาเจียนไม่หยุด
วันนั้นเป็นวันที่เรียนอะไรไม่รู้เรื่องเลย เหมือนมีบางสิ่งเป็นลางร้าย เช่น นั่งเหม่อลอยในชั้นจนปากกาหล่นพื้นไม่รู้ตัว ระหว่างทานมื้อเที่ยงอยู่ดีๆ ก็สำลักอาหารจนจุก ที่น่าแปลกคือเกิดอาการเห็นแสงวูบวาบเป็นระยะซึ่งไม่เคยเกิดมาก่อน สร้างความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวให้คิดถึงพ่อและแม่อย่างประหลาดตลอดทั้งวัน
พุทธมณฑลสายสองเวลานั้นถนนกำลังอยู่ระหว่างซ่อมปรับปรุงเป็นบางช่วง เมื่อถึงช่วงซ่อม รถเราจะขับได้ช้าทำให้ใจพ่อร้อนรนพิกล และเมื่อผ่านพ้นช่วงนั้นแล้วรถจะน้อย พ่อก็จะถอนหายใจโล่งพร้อมเร่งความเร็วเต็มพิกัด
“พ่อ” ผมตกใจตะโกนเรียกพ่อลั่นเมื่อจู่ๆ มีหมาดำวิ่งตัดหน้ารถ พ่อหักพวงมาลัยหลบไปทางขวาทันที
ด้วยความเร็วขณะนั้นรถจึงเสียการควบคุม ผมรับรู้ได้จากหน้ารถว่าตัวหมุนติ้วเคว้งคว้างไปยังอีกฟากฝั่งถนน จากนั้นโลกกลับหัวกลับหางหลายตลบ ตามด้วยเสียงดังเหมือนโลกแตกเป็นเสี่ยงคล้ายเสียงระเบิดเป็นระลอกๆ ปากผมพร่ำร้องเรียกหาพ่อ พลันรู้สึกอุ่นใจทันทีด้วยกลิ่นคุ้นเคยในอ้อมกอด แต่ความเร็วของรถที่ตีลังกากระแทกพื้นถนน ทำให้พ่อกระเด็นหลุดจากตัวผม
พ่อพยายามโผกลับมากอดผมอีกครั้ง ปากร้องตะโกนว่า ขอพ่อกอดอีกครั้ง ...ขอพ่อกอดอีกครั้ง
สมองผมพลันดับวูบดำมืดมิด พร้อมกระหายอ้อมกอดพ่อไม่เคยจาง
หรือผมฝันเพราะมีควันสีเทาลอยล่องไปทั่ว เห็นฝูงชนชุลมุนวุ่นวาย นำพ่อออกจากซากรถบู้บี้วางบนพื้น ปิดร่างพ่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ จึงรู้ว่าจะไม่มีอ้อมกอดพ่ออีกต่อไป และต้องตกใจเมื่อสัมผัสได้ว่า ตกอยู่ในอ้อมกอดชายชราผมขาวโพลนในอาภรณ์ขาว รัศมีเปล่งปลั่งทั่วร่างจนเห็นหน้าไม่ชัดนัก
ผมอยากให้แม่กอดตอนนี้ แทนชายชราผู้นี้ จึงร้องสุดเสียงเหมือนเด็ก “แม่... แม่คร้าบบบ... แม่อยู่หนายยย” จากนั้น ตะโกนเรียกหาแม่นับพันครั้งท่ามกลางหมอกควันสีเทารอบตัว นั่นคืออารมณ์อันแสนอ้างว้างเหมือนถูกทอดทิ้ง ณ. ขณะนั้น
กระทั่งควบคุมตัวเองได้ ล่องลอยอย่างมีจุดหมาย มองผู้คนขวักไขว่ต่างทำธุระตน เห็นทารกเกิดใหม่ไม่เว้นแต่ละวันยิ่งทำให้ต้องการแม่เหนืออื่นใด
ทันใด มีนารีองค์หนึ่งปรากฏกายอ้าแขนพูดว่า “แม่รออยู่นะ” พร้อมแสงวาบจากฟากฟ้าผ่าเข้ากลางศีรษะ สุดท้ายจำได้ว่านอนขดตัวอยู่ในห้องอันแสนอบอุ่นเปี่ยมด้วยความรัก จากนั้นจำอะไรไม่ได้อีกเลย
ตอนนั้น ...ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมชื่ออะไร?
*************************************
ผมชื่อโตโต้ครับ อายุสิบห้ามาหมาดๆ เมื่อ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๑
ผมสะดุ้งพรวดตื่นเป็นนั่ง ใจเต้นโครมเหงื่อท่วมตัว มันเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่เด็กถึงปัจจุบัน เคยลองสวดมนต์ก่อนนอนก็ไม่ช่วยให้เลิกฝันนี้ได้เลย
สมัยวัยเด็กเคยเล่าความฝันให้แม่ฟัง แม่เพียงยิ้มให้ด้วยความเอ็นดูและลูบหัวผมเบาๆ พูดว่า “ไม่มีอะไรหรอกโตโต้ ...ทุกคนฝันจ๊ะ” สุดท้ายเลิกเล่าให้แม่ฟังรวมถึงทุกคน โธ่... จะมีใครฟังล่ะขนาดแม่ยังไม่เลย และเชื่อว่านี่คือต้นเหตุให้ผมเป็นคนพูดน้อย แต่ยังคงสนุกสนานร่าเริงตามประสาเด็ก ครั้นอายุย่างสิบสาม ฮอร์โมนวัยรุ่นทำให้ผมเปลี่ยนไป มีท่าทางเด๋อด๋า ขี้อายไม่สบตาคน อุปนิสัยชอบย้ำคำตอบซ้ำซากและถามคำตอบคำ
ผมรักการกอดมาก ...ทั้งกอดคนที่รักและการถูกกอดโดยเฉพาะกอดของแม่
ผมจำหน้าพ่อไม่ได้หากไม่ได้เห็นจากรูปถ่าย ทราบมาว่าพ่อแต่งงานช้าและอายุเพียงสี่สิบเก้าปีก็เสียชีวิตจากโรคร้ายเมื่อผมอายุได้สามขวบ แต่ความที่พ่อได้รับมรดกมาเยอะจากปู่ ฐานะความเป็นอยู่ของเราสองแม่ลูกจึงสุขสบายเกินพอ พูดภาษาชาวบ้านว่าร่ำรวยก็แล้วกัน แม่จึงให้ได้ทุกสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับผม เช่น ส่งเรียนว่ายน้ำ แม้กระทั่งเล่นกอล์ฟเมื่ออายุห้าขวบที่สมัยนั้นยังไม่เป็นที่นิยมนัก ความสามารถทางดนตรีและร้องเพลงก็เก่งพอตัวนะ แต่ผลดีกว่านั้นคือทำให้สมาธิดีและมีความมุ่งมั่นสูงที่จะเอาชนะตัวเอง
นอกจากเกิดมาฐานะดีแล้ว ทุกคนชมว่าผมน่ารักและหล่อมากแต่เด็ก เมื่อแรกเกิดแม่บอกเพราะนัยน์ตาโต้โต จึงตั้งชื่อเล่นผมว่าโตโต้ เพราะนัยน์ตาเด่นสวยมาก หลายคนมักเปรียบเปรยว่าตาโตเท่าไข่ห่าน แต่เด่นชัดที่สุดคือขนตางอนยาวที่หลายคนแอบอิจฉา สิ่งเดียวที่ไม่ชอบในตัวคือผอมมากจนเพื่อนๆ ที่โรงเรียนล้อว่า‘ไอ้แห้ง’
หากพูดว่าชาติก่อนผมทำบุญมาเยอะ ชาตินี้จึงโชคดีแสนสุขสบายก็ถูกอยู่ แต่หากบอกว่าผมโชคดีเพราะ‘กลับชาติมาเกิด’ คงอึดอัดน่าดูเพราะจะมีใครเชื่อ!
จึงเงียบไว้ดีที่สุดครับ!
********************************
อภิชาต เทพดากูล คือชื่อสกุลของผมครับ อายุยี่สิบหกปีบริบูรณ์เมื่อห้าวันที่ผ่านมานี่เอง
แม่เล่าที่มาของชื่ออภิชาตว่า เพราะทารกนัยน์ตาโตแวววับด้วยขนตางอนยาวนี้ โตขึ้นจะสร้างชื่อเสียงโดดเด่นยิ่งขึ้นแก่วงศ์ตระกูลผู้ดีเก่าของพ่อ พ่อจึงตั้งชื่อจริงผมว่าอภิชาต มีความหมายว่า‘หนุ่มรูปงามเกิดจากตระกูลดี’
เพราะจำอดีตชาติได้ สมัยยังเด็กจึงเกิดความสับสนในชีวิตทำให้มีบุคลิกและพฤติกรรมแปลกๆ แต่ทั้งหมดสูญหายไปพร้อมอดีตชีวิตเด็กอายุสิบห้าปีคนหนึ่ง ครั้นอายุย่างสิบหกผมกลับเป็นตัวตนแท้จริง เลิกเอามือเสยผมเวลาเขินอาย หรือบุคลิกถามคำตอบคำก็ไม่เหลือให้เห็นอีก แต่กลับถูกทดแทนด้วยต่อมน้ำตาตื้นเขินหากเป็นเรื่องความรัก ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เหนืออื่นใด ผมไม่ใช่เด็กที่ฝังใจกับอดีตชาติอีกต่อไป
แต่ที่โรงเรียนนานาชาติตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงเกรด ๙ (มัธยมต้น) แทบไม่มีใครแม้กระทั่งคุณครูเรียกชื่อจริงผมเลย ทุกคนเรียกแต่ชื่อเล่นครับ ครั้นขึ้นเกรด ๑๐ มีนักเรียนใหม่สมัครเข้ามากมายทดแทนเด็กเก่า ที่ส่วนใหญ่จะไปเรียนต่อหรือย้ายตามผู้ปกครองยังต่างประเทศ เพื่อนเก่าและคุณครูจึงเรียกผมตามเพื่อนใหม่ว่าอภิชาตนับจากนั้น
โครงหน้าผมเปลี่ยนไปจากเด็กใสซื่อดูแข็งกร้าวขึ้น ยกเว้นนัยน์ตายังคงมุ่งมั่นของความเป็นนักสู้ไม่เคยจางหาย
ผมยอมรับโดยดุษฎีว่ามีแม่สองคนที่ผมมอบความรักให้เท่าเทียมกัน เช่นเดียวกับความผูกพันที่ไม่สามารถอธิบายได้ต่ออดีตเด็กหญิงคนหนึ่งก็ไม่เคยเปลี่ยน
ผมจบวิศวกรรมศาสตร์มหาบัณฑิตสาขาเคมีฟิสิกส์ ด้วยเกียรตินิยมเหรียญทองจากสถาบันอันดับหนึ่งของประเทศ แน่นอนว่า ทุกคนยุให้เรียนต่อปริญญาเอก แต่จะสนใจทำไมเล่าเมื่อสามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้เพียงปลายนิ้วสัมผัสผ่านอินเตอร์เน็ท แม้กระทั่งศึกษาเรื่อง “การกลับชาติมาเกิด”
ตอนนี้ผมเป็นชายฉกรรจ์เต็มตัว รูปร่างกำยำส่วนสูงถึง ๑๙๐ เซนติเมตร ทว่า ความฝันที่ยังคงตามหลอกหลอน โดยชายชราผมขาวโพลนในอาภรณ์ขาวนี่สิ ทำให้อนาคตผมต้องเหนื่อย
********************************