บทนำ
“ยั้งก๋อน กระเถิ่ด ข้าเจ้าดูเอง” เสียงกระซิบกระซาบเงียบไป เมื่อเสียงหวานที่กังวานดังขึ้น บอกกล่าวบรรดาสาว ๆ ที่ดูด้อยศักดิ์กว่าให้หยุดรุมมองร่างที่นอนไม่ได้สติอยู่บนพื้น
คนที่นอนอยู่บนพื้นค่อยๆ ขยับเปลือกตาขึ้น เมื่อมีมืออุ่นๆ มาสัมผัสผิวกาย ดวงตากลมกวาดมองไปทั่ว เห็นหญิงสาว มวยผมสูงหลายคนยืนเปลือยหน้าอกมองเธอ ‘เดี๋ยวก่อน! ทำไมยืนโป๊กันแบบนี้’ คนที่นอนอยู่บนพื้นที่ทั้งร้อนและแข็ง รีบยกมือสองข้างของตัวเองขึ้นมาสำรวจ ‘ตอนนี้อยู่ไหนวะเนี่ย’ เธองงไปหมดแล้ว ‘งงมากแม่!’
เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้มาบ้านเจ้าที่สุโขทัย เดินชมบ้านแล้วไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สัก แต่รู้สึกง่วงมาก เลยเผลอหลับไป แต่ทำไมถึงรู้สึกตัวที่นี่ได้ล่ะ ‘เอ๊ะ! หรือว่าฝัน’ คนที่กำลังนอนครุ่นคิดอยู่บนพื้น เลยลุกขึ้นมานั่งหยิกตัวเองท้าพิสูจน์ว่าเธอฝันหรือทุกอย่างที่เห็นอยู่ตอนนี้เป็นความจริง
“ชะแม่นางขี้เท่อใช่ป๋าว” กลุ่มหญิงสาวที่มุงพากันถอยออกห่าง ซุบซิบว่า คนที่นอนอยู่บนพื้นผุดขึ้นนั่ง แล้วกำลังหยิกแขน ตีตัวเองอยู่นั้นสติไม่ดี
“ทำไมเจ็บอ้ะ ทำไมไม่ตื่นสักที!” นพเกล้าถึงขั้นปล่อยโฮ เธอสับสนไปหมดแล้ว มันเกิดขึ้นอะไรขึ้นกันแน่
“มีสติเถิด ข้าเจ้าชื่อนพมาศ เนี๊ยะคือ ชะแม่อบ ชะแม่กำนัลของข้าเจ้า” หญิงที่ดูสูงศักดิ์ที่สุดในบรรดาทุกคนย่อตัวในระดับเดียวกับคนที่กำลังปล่อยโฮ หล่อนแนะนำตัวเอง พร้อมพี่เลี้ยงที่ตามติดดูแล
“แล้วยังไงหรอคะ ฉันไม่รู้ว่าฉันมาที่นี่ได้ยังไง ฉันอยากกลับบ้าน” ร่างบางที่กำลังสะอื้นไห้ งอเข่าเข้าหาตัว กอดตัวเองร้องไห้หนักกว่าเดิม เธอไม่อยากทำงานที่สุโขทัยแล้ว เธออยากลับบ้าน เธอยังมีตายายที่ต้องดูแล ไหนจะต้องส่งน้องสาวเรียนอีก ถ้าขาดเธอไปสักคน ทุกคนที่บ้านจะต้องลำบากแน่ๆ
“ข้าเจ้าไม่รู้ว่าเอ็งพูดสะนั้นเล๊า แต่ข้าเจ้าอยู่โด่นิข้างๆ สงบใจหน่า” หญิงสูงศักดิ์ไม่เข้าใจในสิ่งที่คนกำลังร้องไห้พูด แต่หล่อนอ่านจากแววตาและท่าทางแล้ว สัมผัสได้ถึงความอ้างว้างและว้าวุ่นใจเป็นอย่างมาก หล่อนทำได้เพียงวางมือบางลงบนไหล่ที่กำลังสั่นสะท้าน และบอกว่าอยู่ตรงนี้ พร้อมพากันนั่งรายล้อมเป็นกำลังใจให้คนที่ร้องไห้
“ที่นี่คือที่ไหนหรอคะ” เมื่อได้ร้องไห้จนความทุกข์ใจเบาลง นพเกล้าก็เริ่มตั้งสติได้ ‘โอเค อาจจะมีคนแกล้งพามาปล่อยที่ไหนก็ไม่รู้ ตอนหลับก็ได้นี่หน่า’ หญิงสาวพยายามมองในแง่ดี เหตุผลนี้ก็ดูมีเค้า เพราะเธอเป็นคนที่เพื่อนร่วมงานไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่อยู่แล้ว
“ตรงนี่หน่า...?” หญิงสูงศักดิ์ถามย้ำอีกครั้ง เพราะหล่อนพอจะจับใจความคำถามได้อยู่ เมื่อคนถามพยักหน้า หล่อนจึงตอบ “ตรงนี่คือเรือนพระศรีมโหสถ อยู่ทุ่งสำเภา ข้าเจ้าชื่อนพมาศ เป็นลูกหยิ่งของเรือนนี่”
“ทุ่งสำเภา...แล้วตอนนี้เราอยู่จังหวัดอะไรคะ สมัยไหนคะ” นพเกล้าพอจะจับใจความได้ว่าที่นี่คือบ้านของพระศรีมโหสถ ทุ่งสำเภา และนพมาศคือลูกสาวของเจ้าของบ้านนี้ เธอจึงถามต่อเพื่อจะหาวิธีกลับบ้าน เพราะเท่าที่สังเกตบรรยากาศรอบตัวโดยรอบมีต้นไม้สูงใหญ่ ทุกอย่างถูกสร้างด้วยอิฐ ไม้ ไผ่ และใบตอง แถมผู้คนก็เปลือยหน้าอกกันหมดทั้งชายและหญิง เว้นแต่หญิงที่ชื่อนพมาศที่มีผ้าคาดอก สวมใส่เครื่องประดับไว้ ‘เอ๊า! แล้วเราล่ะ’ หญิงสาวเพิ่งนึกขึ้นได้ก้มมองตัวเองว่าเปลือยล่อนจ้อนหรือเปล่า ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา เพราะเธอมีผ้าคาดอกและสวมผ้านุ่งบดบังกายไว้
“ทุ่งสำเภา อยู่เมืองฝาง ต่ะนี่พระร่วงเจ้าเป็นพ่อเมือง” หญิงสูงศักดิ์ที่ผิวพรรณผุดผ่องดั่งทองตอบด้วยรอยยิ้มอย่างคนใจเย็น ด้วยเพราะการเรียนเรียนบาลี สันสกฤต มาอย่างรู้แจ้ง และพอจะเข้าใจภาษาจีนบ้าง ทำให้หญิงสาวพอจะจับใจความในสิ่งที่คนถามต้องการรู้ได้
“พระร่วงเจ้าเป็นพ่อเมือง! ฉิบหายแล้ว!” นพเกล้าถึงกับอุทานลั่น แล้วลมตึงไปกับพื้นอีกรอบ หญิงสาวสูงศักดิ์และสาวๆ คนอื่นจึงต้องพากันตะโกนเรียกข้าในเรือนให้มาช่วยกันพาร่างบางขึ้นเรือน และตามหมอมาดูอาการ